ระบบการเพิ่มผลผลิตข้าว (System of Rice Intensification — SRI)
เป็นระบบการจัดการรวมระหว่าง พืช(ข้าว) ดิน น้ำ และสารอาหาร(ปุ๋ย) ซึ่งอาจจะลดการใช้น้ำลงได้ 25-50% โดยที่เพิ่มผลผลิตได้ถึง 50-100%
เพื่อไม่ให้เสียเวลา สรุปวิธีการและเหตุผลง่ายๆ ดังตารางข้างล่างครับ ส่วนรายละเอียด ดูได้จากลิงก์ต่างๆ ที่ให้ไว้
ใช้ต้นกล้าอ่อนมากๆ อายุเพียง 8-12 วัน ซึ่งมีใบอ่อนเพียงสองใบเท่านั้น | กล้าอ่อน+ใบเลี้ยง อยู่ในช่วงที่รากกำลังเจริญเติบโต |
ปักดำอย่างระมัดระวังไม่ให้รากช้ำเสียหาย | เพื่อให้รากได้เจริญเติบโตในดินอย่างมั่นคง |
ทีละต้น ไม่ใช่ทีละกระจุก | ปักดำครั้งละต้นเดียว เพื่อไม่ให้รากของต้นกล้าแย่งอาหารกันเอง |
เว้นช่องว่างห่างกว่าปกติ เป็นแถวเป็นแนวขนาด 25×25ซม. 30×30ซม. 40×40ซม. หรือ จะห่างขนาด 50×50ซม. แล้วแต่พันธุ์ข้าว ถ้าดินสมบูรณ์มาก ใช้ระยะห่างได้มาก | เว้นที่ว่างไว้ให้ รากข้าวได้เติบโตเต็มที่โดยไม่ต้องแย่งอาหารกันเอง แถมยังใช้พันธุ์ข้าวน้อยลงกว่าวิธีการดั้งเดิมด้วย |
ดิน: เป็นดินที่ชื้น แต่ไม่มีน้ำขัง ทำให้จุลินทรีย์ในดินเติบโต(ทำงาน)ได้ | ช่วยให้ประสิทธิภาพของระบบรากดีขึ้น เร่งการเจริญเติบโตของต้นข้าว และนำมาสู่ผลผลิตที่มากขึ้น |
น้ำ: รดดินพอให้เปียกเท่านั้น แต่หลักใหญ่คือจะไม่ผันน้ำเข้านาจนท่วม แล้วให้ข้าวโตหนีน้ำ — บางทีถ้าไม่มีแรงงานรดน้ำ ก็ใช้ผันน้ำเข้าแค่ท่วมดิน แล้วระบายออกเป็นรอบทุก 3-5 วัน | ใช้น้ำเฉพาะเพื่อให้ระบบรากของต้นข้าว ละลายสารอาหารในดิน เพื่อนำไปเสริมสร้างการเจริญเติบโตของข้าว จึงใช้น้ำน้อยกว่าการทำนาแบบที่ทำกันอยู่ในเมืองไทย ยิ่งกว่านั้นเพราะไม่มีน้ำท่วมนา จึงไม่มีการหมักเน่าของซากพืชซากสัตว์ในนา ลดการปล่อยก๊าซมีเธนซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่มีฤทธิ์รุนแรงกว่าคาร์บอนไดออกไซด์กว่า 20 เท่า |
ปุ๋ย: ขึ้นกับสภาพดิน แต่พบว่าปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยอินทรีย์อื่นๆ ให้ดีกว่าปุ๋ยเคมี | ปุ๋ยคือสารอาหารสำหรับการเจริญเติบโตของข้าว ปรับสภาพดินให้เหมาะ |
วัชพืช: เพราะว่าแนวปลูกอยู่ห่างกันกว่าวิธีดั้งเดิม จึงสามารถพรวนดินโดยไถระหว่างช่องได้ | การพรวนดิน เป็นการเติมอากาศลงในดิน ทำให้รากทำงานได้ดีขึ้น วัชพืชที่ถูกพรวนไปพร้อมกับดิน กลายเป็นปุ๋ยอินทรีย์ไปในที่สุด |