วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

การปลูกข้าวแบบ SRI

รัฐไตรปุระ, อินเดีย 

WWF ตีพิมพ์บทความเมื่อเร็ว ๆ นี้ถึงความสำเร็จของการศึกษาวิธีปลูกข้าวด้วยวิธีใหม่ที่ประหยัดน้ำหลายเท่า แต่ให้ผลผลิตมากขึ้น 

การศึกษาครั้งนี้เกิดขึ้นที่ประเทศอินเดียซึ่งเป็นแหล่งผลิตข้าวที่ใหญ่ที่สุดของโลกแต่กำลังประสบปัญหาเรื่องปริมาณน้ำที่น้อยลง ผลการศึกษาพบว่าวิธีปลูกข้าวแบบใหม่หรือเรียกย่อ ๆ ว่า SRI ( The System of Rice Intensification) ทำให้ผลผลิตข้าวเพิ่มขึ้นถึง 30 % หรือเท่ากับ 4-5 ตันต่อพื้นที่ 1 เฮคแตร์ เมื่อเทียบกับวิธีปลูกข้าวแบบธรรมดาที่ได้ผลผลิตเพียง 3 ตันต่อเฮคแตร์ และวิธีใหม่นี้ยังใช้น้ำน้อยกว่าวิธีแบบเดิมถึง 40 % 

วิธีปลูกข้าวแบบใหม่นี้ใช้หลักการ 8 ประการซึ่งแตกต่างจากการปลูกข้าวทั่วไป เช่น 1) ทำการพัฒนาแร่ธาตุในดินและปลูกต้นกล้าที่ไม่ใช้น้ำท่วมขัง 2) เว้นระยะห่างของข้าวแต่ละต้นให้มากกว่าเดิม 3) ใช้ปุ๋ยชีวภาพแทนปุ๋ยเคมี 4) จัดการน้ำอย่างรอบคอบเพื่อไม่ให้รากต้นข้าวอุ้มน้ำมากเกินไป 

วิธีปลูกข้าวแบบนี้เคยทำการศึกษาเป็นครั้งแรกในราวปี 1980 ที่เกาะมาดากัสการ์ และได้ทดลองใช้อย่างมีประสิทธิผลใน 28 ประเทศ 

ดร. บิคแชม กุจจา ที่ปรึกษาอาวุโสด้านนโยบายของ WWF International กล่าวว่า “ แม้ว่าวิธีปลูกข้าวแบบ SRI นี้จะมีประสิทธิภาพมาก แต่เราจำเป็นต้องขยายผลไปสู่พื้นที่อื่น ๆ ให้คนรู้มากกว่านี้ ถึงเวลาแล้วที่ต้องป่าวประกาศให้ชาวนาในพื้นที่อื่น ๆ ให้หันมาใช้วิธีการปลูกข้าวแบบนี้ เพราะจะส่งผลดีต่อโลกของเราและเป็นประโยชน์ต่อทั้งคนและธรรมชาติ ” 

ผลการศึกษาแนะนำว่าประเทศที่ผลิตข้าวใหญ่ ๆ อย่าง ประเทศอินเดีย จีน และอินโดนีเซีย ควรเปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าวของตัวเองให้ใช้วิธีการ SRI นี้ให้ได้ราว 25 % ก่อนปี 2025 เพราะไม่ใช่เพียงแค่การประหยัดน้ำเท่านั้น แต่ยังเป็นการเพิ่มผลผลิตข้าวให้มากขึ้นด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นการลดก๊าซมีเธนสู่บรรยากาศของโลกด้วย เพราะวิธีปลูกข้าวแบบ SRI จะไม่ก่อให้เกิดก๊าซมีเทน ซึ่งแตกต่างจากการปลูกข้าวด้วยวิธีธรรมดา 

เมื่อคำนวณอย่างคร่าว ๆ หากมีการปลูกข้าวด้วยวิธี SRI ในพื้นที่ 20 ล้านเฮคแตร์ในประเทศอินเดีย ก็จะทำให้บรรลุเป้าหมายที่ต้องการผลิตข้าว 220 ล้านตันต่อปีได้ภายในปี 2012 แทนเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ที่ปี 2050 

ผู้บริหารรัฐไตรปุระตระหนักถึงความสำเร็จนี้และกำลังวางแผนเพื่อขยายการปลูกข้าวไปสู่พื้นที่อื่น ๆ 

มานิค ซาการ์ ผู้ว่าฯ รัฐไตรปุระ กล่าวว่า “ ชาวนาของรัฐเราที่ทำการทดลองปลูกข้าวแบบใหม่นี้ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมแล้ว ดังนั้น เราจึงตั้งใจว่าจะผลักดันให้พื้นที่ 40 % ของพื้นที่นาในรัฐของเราให้หันมาใช้วิธีนี้ภายใน 5 ปีข้างหน้า ” 

“ และเราจะใช้โมเดลการปลูกข้าวนี้ขยายไปสู่รัฐอื่น ๆ เพราะนี่เป็นความหวังอย่างหนึ่งของเราที่จะแก้ไขวิกฤติกาลขาดน้ำที่มีผลกระทบต่อคนหลายร้อยล้านคนได้ ”

มีการคาดกันว่า ความต้องการที่จะใช้น้ำในการปลูกข้าวจะเพิ่มขึ้น 38 % ในปี 2040 ซึ่งจะยิ่งทำให้เกิดปัญหาการขาดน้ำเพิ่มมากขึ้นไปอีก อย่างไรก็ตาม ผลผลิตข้าวราว 6 % เท่านั้นที่มีการซื้อขายข้ามประเทศ ดังนั้นการปลูกข้าวด้วยวิธีใช้น้ำน้อยนี้จะช่วยลดปัญหาการขาดแคลนน้ำภายในประเทศได้ โดยเฉพาะในพื้นที่ยากจนที่กำลังประสบปัญหาขาดน้ำ 

ในปัจจุบันประชาคมโลก 1,200 ล้านคนอยู่ในภาวะขาดแคลนน้ำและไม่มีสุขอนามัยที่เพียงพอ WWF กำลังทุ่มเทพยายามศึกษา การทำเกษตรกรรมแบบยั่งยืนในการปลูกฝ้าย น้ำตาล และข้าว ซึ่งเป็นพืชพันธุ์ที่มีการบริโภคมากที่สุด ซึ่งเทคนิคที่คิดค้นในการปลูกด้วยวิธีใหม่ ๆ จะช่วยให้มีผลผลิตมากขึ้นแต่ใช้น้ำน้อยลง 

หมายเหตุ
  • ท่านสามารถอ่านผลการศึกษาฉบับเต็มได้ที่www.panda.org/about_wwf/what_we_do/freshwater/publications/index.cfm
  • ข้าวเป็นผลผลิตหลักในการบริโภคของประชากรครึ่งหนึ่งของโลก และ 90 % ของข้าวปลูกมาจากพื้นที่ในทวีบเอเชีย
  • ข้อเท็จจริงที่คนชอบปลูกข้าวในน้ำก็เพราะเป็นการป้องกันวัชพืช ทั้ง ๆ ที่ต้นข้าว ไม่ใช่พืชน้ำ
  • วิธีปลูกข้าวธรรมดาที่นิยมในปัจจุบันต้องใช้เมล็ดพันธุ์ 60-70 กิโลกรัมต่อ 1 เฮคแตร์ แต่วิธีการปลูกแบบใหม่ หรือ SRI ใช้ข้าวเพียง 5 กิโลกรัมต่อ 1 เฮคแตร์เท่านั้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น